วรรณคดีฝรั่งเศสสมัยศตวรรษที่ 17
ภาพรวมวรรณคดีศตวรรษที่ 17
ในวงการวรรณคดีของฝรั่งเศส เหล่าชนชั้นสูงทั้ง กษัตริย์ และขุนนางต่างมีบทบาทสำคัญในการเป็นทั้งผู้อุปถัมภ์และผู้ผลิตวรรณคดี ส่วนสามัญชนที่นับเป็นชนชั้นล่างสุดของสังคมยุคนั้นเข้าถึงวรรณคดีได้เพียงเล็กน้อย กล่าวคือ พวกเขามีโอกาสชมละครและซื้อนิยายเล่มเล็กราคาถูกอยู่บ้าง
หากย้อนกลับไปช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ถึงปลายรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 วรรณคดีฝรั่งเศสอยู่ในอิทธิพลบาโรก ลักษณะการประพันธ์ไม่มีข้อบังคับตายตัว ต่อมาความนิยมวรรคดีรูปแนวนี้แทนที่ด้วย วรรณคดีแนวคลาสสิก และแพร่กระจายความนิยมอย่างกว้างขวางในยุคนั้น จนได้ชื่อว่า ศตวรรษที่ 17 คือ “สมัยคลาสสิกของฝรั่งเศส”
วรรณคดีแนวคลาสสิกนี้ ได้รับเอาแนวคิดมาจากวรรณคดีกรีกโรมันโบราณที่ยึดหลักเหตุผล กล่าวคือ วรรณคดีควรมีความสมเหตุสมผล แม้จะเป็นเรื่องเหนือจริงนักเขียนก็ต้องทำให้ผู้อ่านรู้สึกคล้อยตาม นอกจากการยึดแนวคิดเหตุผลนิยมแล้ว ยังมีการสอดแทรกศีสธรรมเข้ามาด้วย
ศตวรรษที่ 17 วรรณคดีมีความเฟื่องฟูมาก เห็นได้จากการก่อตั้ง ราชบัณฑิตยสถาน ( L’Académie française ) โดย ริเชอริเยอ เพราะเขาตระหนักถึงคุณค่าทางวรรณคดี ในฐานะที่วรรณคดีเป็นสิ่งหนึ่งในการเชิดชูเกียรติของประเทศฝรั่งเศส ราชบัณทิตยสถานมีหน้าที่เกี่ยวกับงานด้านภาษาและวรรณคดี เช่น ชำระภาษาฝรั่งเศสให้บริสุทธิ์ จัดทำพจนานุกรม ผลิตตำราไวยากรณ์ และพิจารณารางวัลทางวรรณกรรม เป็นต้น เหล่านี้ล้วนมีส่วนในการวางรากฐานภาษาฝรั่งเศสให้มั่นคง เพราะสมัยก่อนนักเขียนใช้ภาษาละตินในการสร้างผลงาน การเกิดนโยบายชาตินิยมในศตวรรษที่ 17 ทำให้นักเขียนหันมาใช้ภาษาฝรั่งเศสสร้างงานเขียนแทน
นอกจากราชบัณทิตยสถานของรัฐแล้ว ยังมีการตั้ง “salon” ขึ้นมากมาย salon นี้ก็คือ สถานที่พบปะสังสรรค์เพื่อพูดคุยและเปลี่ยนความรู้ความคิดเกี่ยวกับวรรณคดีของชนชั้นสูง salon ที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ก่อตั้งโดยสุภาพสตรีชั้นสูงในกรุงปารีส โดยใช้คฤหาสน์ของตนเป็นสถานที่ดำเนินกิจกรรมดังกล่าว (ชื่อ salon ตั้งตามชื่อเจ้าของคฤหาสน์ ) วัตถุประสงค์ของ salon คือ จัดกิจกรรมเกี่ยวกับวรรณคดี อาทิ แต่งกลอนสด อ่านงานประพันธ์ของตนให้สมาชิกฟังและช่วยกันวิจารณ์ เล่นละครขนาดสั้น เป็นต้น หลังสิ้นสุดเหตุการณ์กบฏลาฟรงด์ปลายปี ค.ศ. 1652 ชนชั้นกลางมีความสนใจเข้าร่วม salon เป็นจำนวนมาก ทั้งในกรุงปารีสและในหัวเมืองต่างๆ
สองปีหลังเหตุการณ์กบฏลาฟรงด์สิ้นสุด ได้เกิดกลุ่ม La Préciosité ใช้เรียกพฤติกรรมของเหล่าสุภาพสตรีชั้นสูงใน salon ผู้ต้องการยกตนให้ดูมีสูงค่า จึงต้องมีการแสดงออกและใช้ภาษาให้แตกต่างจากสามัญชน จึงเกิดการบัญญัติศัพท์ใหม่ในกลุ่ม La Préciosité เช่น พวกเธอเรียก le miroir (กระจกเงา) ว่า le conseil des graces (ที่ปรึกษาความงาม) แม้จะมีนักเขียนร่วมสมัยหลายคนวิพากษ์วิจารณ์สุภาพสตรีชั้นสูงกลุ่มนี้เกี่ยวกับการใช้ภาษาและพฤติกรรมที่ปรุงแต่งเกินพอดีของพวกเธอ แต่กลุ่ม La Préciosité ได้แสดงให้เห็นถึง ความคิดแบบสตรีนิยม จากการที่พวกเธอเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมระหว่างสตรีกับบุรุษ
วรรณคดีแนวคลาสสิกมีความเจริญสูงสุดในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เพราะพระองค์อุปถัมภ์นักเขียนจำนวนมาก ทั้งยังมีพระทัยเปิดกว้าง หากนักเขียนจะวิจารณ์สภาพสังคมหรือแม้กระทั่งตัวพระองค์ แต่วรรณคดีแนวคลาสสิกเริ่มลดอิทธิพลลงไป มาจากการที่นักเขียนเริ่มหาแนวการเขียนซึ่งต่างไปจากแนวเดิมในช่วงปลายศตวรรษที่ 17
งานเขียนด้านปรัชญาและศาสนา
1. เรอเน เดส์การ์ต (René Descartes)
ประวัติ
เรอเน เดส์การ์ต เกิดเมื่อค.ศ.1596 จบการศึกษาด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปัวติเยส์เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งปรัชญาสมัยใหม่” และ “บิดาแห่งปรัชญาลัทธิเหตุผลนิยม”เนื่องมาจากความคิดของเขาที่ความคิดต้องตั้งอยู่บนหลักเหตุผล และสามารถพิสูจน์ได้ ดังประโยค “Je pense, donc je suis” (ฉันคิด ฉันจึงเป็น(คน)) การคิดนับเป็นพื้นฐานของการกระทำทั้งยังส่งผลต่อความเป็นมนุษย์อีกด้วย คำพูดของเขาได้กลายมาเป็นเอกลักษณ์และส่งอิทธิพลต่อวรรณกรรมสมัยศตวรรษที่ 17 (วรรณกรรมแนวคลาสสิก)อย่างกว้างขวาง กระทั่งมีการก่อตั้งลัทธิการ์เตเซียง (le catésianism)ขึ้น
ผลงาน
- Discours de la Méthode ตีพิมพ์ในปีค.ศ.1637 ถือเป็นงานเขียนทางปรัชญาชิ้นแรกที่เป็นภาษาฝรั่งเศส เนื้อหากล่าวถึง คุณค่าของการใช้เหตุผลของมนุษย์ และสัจธรรมจะพบได้จากการคิดแบบวิทยาศาสตร์เท่านั้น
2. แบลส ปาสกาล (Blaise Pascal)
ประวัติ
ปาสกาลเกิดเมื่อปีค.ศ. 1623 เขาได้รับการยกย่องจากชาวฝรั่งเศสยกย่องให้เป็นนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ของชาติ ปาสกาลมีสติปัญญาดีตั้งแต่เด็กและสนใจด้านคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ เมื่ออายุ 19 ปี เขาสามารถประดิษฐ์เครื่องคิดเลขขึ้นใช้เอง เขาประทับใจคำสอนของสาวกลัทธิฌองเซนิสม์จึงย้ายมาอยู่ที่ปอร์-รัวยาลร่วมกับผู้นับถือลัทธิคนอื่นๆ
ผลงาน
- Les Provincials เป็นวรรณกรรมรูปแบบจดหมายรวม 18 ฉบับ ต้องตีพิมพ์อย่างลับๆเพราะผิดกฎหมายในสมัยนั้น เพราะเนื้อหาเกี่ยวข้องกับลัทธิฌองเซนิสม์และเยซูอิต เนื้อความแสดงความไม่เห็นด้วยที่จะปฏิรูปศาสนาคาทอลิกแบบใหม่ แต่ควรยึดตามแบบเก่า เพราะศาสนาไม่ใช้สิ่งที่เปลี่ยนแปลงตามกลุ่มคนในสังคม หรือ กาลเวลา
- Les pensées เป็นหนังสือที่ปาสกาลเขียนไม่จบเพราะมีปัญหาด้านสุขภาพและเสียชีวิตไปก่อน ต่อมาจึงมีคนพยายามเรียบเรียงสิ่งที่เขาต้องการนำเสนอจนออกมาเป็นรูปเล่มและตีพิมพ์สู่สาธารณะ
3. ฌากส์-เบนิญ บอสซุเอต์ (Jacques – Bénigne Bossuet)
ประวัติ
บอสซุเอต์ เกิดเมื่อปีค.ศ. 1627 จบการศึกษาด้านเทววิทยาจากมหาวิทยาลัยนาวาร์ ต่อมาได้บวชเป็นพระ มีความสามารถโดดเด่นเรื่องการเทศนาจนเป็นที่รู้จักและยอมรับทั่วกัน เขาต้องการสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่คริสต์ศาสนานิกายคาทอลิก และต่อต้านทุกลัทธินอกเหนือจากนี้ เขาเป็นพวกอนุรักษ์นิยมที่กล่าวหาว่าละครเป็นสิ่งชั่วร้ายอีกด้วย แต่เพราะเขามีความสามารถด้านการเทศน์จึงได้รับเลือกเป็นสมาชิกราชบัณฑิตยสถาน เป็นพระอาจารย์ของรัชทายาทในพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และได้รับตำแหน่งสูงสุดในชีวิตคือ พระราชาคณะแห่งเมืองโมซ์ (Meaux)
ผลงาน
- Declaration des Quatres Articles บอสซุเอต์เขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อตอบสนองพระราโชบายของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งมีพระประสงค์จะให้ฝรั่งเศสไม่ต้องขึ้นต่อกรุงโรม
กวีพิพนธ์
1. ฌอง เดอ ลา ฟงแตน (Jean de la Fontaine)
ประวัติ
ลา ฟงแตน เก